ในวันนี้ผมขอเขียน ถึง อนาคตไม้กฤษณา กับการที่ไทยก้าวเข้าสู่การเป็น ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ซึ่งจะดูออกแนวนักวิชาการนิดนึงนะครับ แต่โดยทั้งหลาย ทั้งปวงแล้วผมคิดว่าจำเป็นอย่างยึ่งที่ผมต้องรีบ หยิบยกปัญหาซึ่งกำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต ในปี 2558 มาพูดถึง
ประเทศไทยจะก้าวเข้าสู่การเป็น ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Community : AEC) ในปี 2558 หรือในอีก 5 ปีข้างหน้า เรามักได้ยินบ่อย ๆ ว่า การเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนจะส่งผลกระทบอย่างไรกับประเทศไทย และประเทศไทยจะยืนอยู่ตรงไหนในประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ในวันนี้ผมขอพูดถึงแค่ เรื่อง ของวงการไม้กฤษณาอย่างเดียวนะครับ
เมื่อไทยก้าวเข้าสู่การเป็น ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน จะทำให้ไทยต้อง เปิดเสรีด้านการค้าต่างๆ เกือบทุกด้าน ทั้งด้านของภาคการลงทุน การบริการ การศึกษา รวมไปถึงด้านการอุตสาหกรรม การท่องเที่ยว ด้านแรงงานต่างๆ และที่สำคัญคือ ด้านการเกษตร ซึ่งเป็น เศรษฐกิจหลักๆ ของประเทศ ไม่วาจะเป็น ข้าว ยางพารา ผักและผลไม้ชนิดต่างๆ รวมไปถึง ไม้กฤษณาด้วย ทุกอย่างและทุกภาคส่วนที่ผมกล่าวมานี้จะมีผลกระทบหมด อยู่ที่ว่าจะเป็นไปในทางบวกหรือทางลบเท่านั้น
เมื่อเรามองย้อนกลับมาที่ประเทศไทยของเรา วันนี้ต้องยอมรับว่าเรายัง ค้าขายสู้เวียดนาม มาเลเซีย ไม่ได้ ไม่ต้องไปพูดถึงสิงคโปร์เพราะเขาติดอันดับโลกไปแล้ว ด้านแรงงานก็ยังสู้ทางเวียดนาม ลาว พม่า กัมพูชา ไม่ได้เพราะค่าแรงเขาถูกกว่าเรามาก และมีความอดทนสู้งานกว่าเรา
ถ้าถึงวันที่ไทยก้าวเข้าสู่การเป็น ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Community : AEC) เมื่อไหร่ ภาษาที่จะต้องใช้ติดต่อกันก็คงจะหนีไม่พ้นภาษาอังกฤษแน่นอน แล้วในวันนี้พูดกันตรงๆเลยครับ ภาษาอังกฤษ เราสู้สิงคโปร์ มาเลเซีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ ได้ไหม ผมว่า พม่า ลาว ยังใช้ภาษาอังกฤษได้ดีกว่าเราด้วยซ้ำ อย่าลืมว่า ประเทศเหล่านี้เขาเคยเป็นเมืองขึ้นของพวกตะวันตกมาก่อน
ผมว่าแค่นี้ทุกท่านคงจะเริ่มรู้ตัวแล้วว่าถ้าเราไม่เตรียมตัวให้ดี เราจะต้องเสียดุลการค้าในหลายๆ ด้านแน่นอน และคนไทยที่จะได้ประโยชน์จากการก้าวเข้าสู่การเป็น ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ในครั้งนี้ก็จะมีเพียงคนไม่กี่กลุ่ม ซึ่งก็นับเป็นส่วนน้อยของประเทศ ไม่ต้องพูดถึง ตาสี ตาสา ยายมี ยายมา หรอกครับในระดับ รากหญ้าจริงๆ จะเปิดอะไร จะปิดอะไร จะไปร่วมหัวจมท้ายกับ อะไรที่ไหน เขาไม่ได้มารับรู้หรอก เพราะมันเป็นเรื่องที่ไกลตัว ของพวกเขาเหล่านั้นมาก นี่ยังไม่นับชนชั้นกลางทั่วๆ ไปนะครับ
มาเข้าเรื่องวงการไม้กฤษณาดีกว่าครับ ถ้าถึงวันนั้นเมื่อไหร่ มาเลเซีย สิงคโปร์ จะสามารถมารับซื้อไม้กฤษณา และน้ำมันกฤษณา ได้โดยตรงจากเกษตรกร และก็จะกลายเป็นเหมือนตลาดน้ำมันในทุกวันนี้ที่แขกอาหรับบางส่วนเข้ามากดซื้อราคาน้ำมันถึงที่โรงต้มของชาวบ้านครับ แต่จะต่างกันที่ต่อไปคนพวกนี้จะทำสิ่งเหล่านี้ได้โดยไม่ผิดกฏหมาย ไม่ต้องเสียภาษี หรือเสียก็น้อยมาก เพราะทุกอย่างในภูมิภาคนี้จะเปิดเสรีหมด
หลายคนอาจคิดว่าก็ดีนะสิ แขกจะได้มาซื้อได้โดยตรงราคาจะได้สูงขึ้น และไม่ต้องผ่านพ่อค้าคนกลางด้วย ผมว่าถ้าคิดอย่างนี้คิดผิดนะครับ เพราะอย่าลืมว่าชาวบ้านเองเขาไม่ได้มีพื้นฐาน การค้าขาย การตลาดต่างๆ ซึ้งไม่ต้องห่วงพวกพ่อค้าคนกลาง หรือร้านจากซอยนานาหรอกครับ พวกนี้เขาอยู่กับตลาด และผู้ซื้อเป็นหลัก เขาปรับตัวได้อยู่แล้วครับ
และเรื่องราคานี้ไม่ต้องพูดถึง ไม้กฤษณาจากอินโดนีเซีย ลาว พม่า กัมพูชา ราคาถูกกว่าเราอยู่แล้วในทุกวันนี้ และส่วนใหญ่ก็เป็นไม้จากธรรมชาติเป็นหลัก ที่ผมรู้เพราะ เคยมีคนมาเสนอไม้ จากประเทศเหล่านี้ให้ผม แต่ต้องข้ามไปเอามาเอง ราคาถูกมาก และคุณภาพดีด้วย แต่ผมก็ไม่ได้สนใจอะไรมากหรอกครับ อย่างที่รู้ๆกัน นำเข้าไทยเมื่อไหร่ถูกจับแน่นอน และผิดกฏหมายด้วยครับ อีกอย่างเวลาส่งออกสินค้าไปต่างประเทศต้องทำเอกสารต่างๆ อีกมากมาย ซึ่งยุ่งยากมาก แต่ถ้าเปิดเสรีเมื่อไหร่ผมว่าน่าจะง่ายขึ้นอีกมากครับ เพราะในเวลานี้ การขอไซเตส และเอกสารการส่งออกต่างๆ ก็ไม่ได้ยากเย็น แสนเข็นเหมือนแต่ก่อนครับ
คือผมอย่างจะบอกว่าเมื่อถึงเวลานั้น แขก (มาเลเซีย สิงคโปร์ บรูไน) ซึ่งก็ร่วมถึงพ่อค้าคนกลาง ร้านซอยนานา แขกอาหรับ จีน และอีกมากมาย เองจะบอกกับชาวบ้านว่า สินค้าของคุณราคาแพงไป เป็นไม้ปลูกอีกด้วย ถ้าราคานี้ผมไปซื้อไม้สวยๆ จาก ลาว พม่า อินโดนีเซีย กัมพูชา ดีกว่า ราคาถูกกว่า และคุณภาพดีกว่าด้วย
ซึ่งราคาไม้ปลูกบ้านเราตอนนี้ ก็อยู่ระดับ 10,000 ขึ้นไป แต่อีกไม่นานพอของออกมามากเข้าก็จะเหมือนตลาดน้ำมันแหละครับ คือตอนแรกๆ ก็โตรา ละ 6,000 - 8,000 พันบาท แต่ตอนนี้ 3,000 ยังขายกันยากเลยครับ เพราะแขกเขายึดราคาตลาดของอินโดนีเซีย ลาวเป็นหลัก ซึ่งราคาถูกกว่าเรามาก
ในที่นี้ผมพูดถึงในกรณีของเกษตรกร ชาวบ้านทั่วๆไปนะครับ ไม่ได้หมายรวมไปถึงรายใหญ่ หรือ big name ในตลาดเพราะกลุ่มคนเหล่านั้น เขาอยู่ตัวแล้วครับ ตลาดและฐานลูกค้าเขามั่นคงแล้ว ที่จะแย่คือชาวบ้านที่ไม่รู้เรื่องช่องทาง และกลไกของตลาด
ตอนนี้กระแสไม้ปลูกพึ่งจะเริ่มออกสู่ตลาด จึงดูเป็นเรื่องแปลกใหม่ บางคนบอกว่าอีกหน่อยพอไม้ป่าหมดไป ราคาไม้ปลูกจะขยับตัวสูงขึ้นอีกมาก ผมว่ายากนะครับ อย่าลืมว่าไม้กฤษณาเขาตัดกันมาเป็นร้อยๆ ปีแล้วก็ยังไม่หมด และจากการศึกษาตลาดแล้ว คงไม่หมดไปง่ายๆแน่ใน 50 - 100 ปีนี้ เพราะยังเหลืออีกเยอะมาก ทั้งในเขตป่าธรรมชาติ และป่าที่รัฐบาลอนุรักษ์ไว้
คืออาจจะมีน้อยลง แต่ก็ยังมีในสัดส่วนที่เยอะอยู่ และเวลาลูกค้าติดต่อซื้อสินค้าเข้ามา จะถามหาไม้ธรรมชาติ เกรดสูงๆ แบบไม้ SuPer เป็นหลักเลย ไม้ปลูกแทบจะไม่เอาเลย จะมีก็แต่ตลาด มาเลเซีย สิงคโป บรูไน เกาหลี ญี่ปุ่น และจีนเท่านั้นที่ใช้ของระดับนี้เป็นหลัก ซึ่งต้องยอมรับว่า ด้านราคาสู้ทางอาหรับไม่ได้เลย ราคาห่างกันหลายช่วงตัวครับ ผมพูดตามประสบการณ์ที่เคยค้าขายมา
ผมว่าพอไม้ปลูกหลายแสนต้นในบ้านเราตอนนี้ ออกมาเมื่อไหร่ ราคาสินค้าจะต้องลดลงแน่นอน ตามหลักเศรษฐศาสตร์สากลทั่วไปครับ สินค้ามีมาก การแข่งขันสูง ผูซื้อมีน้อย ราคาย่อมลดลงเป็นธรรมดา และอย่าลืมว่าไม้ปลูกที่ขายกันอยู่ทุกวันนี้เป็นช่วงพึ่งเริ่มต้นเท่านั้น ราคาจึงยังคงสูงอยู่ เพราะถือเป็นเรื่องแปลกใหม่ของตลาด ลูกค้าบางรายไม่รู้ก็นึกว่าเป็นไม้ธรรมชาติจึงซื้อไปก็มี
และที่ประเทศไทยบอกว่า จะเป็นศูนย์กลางของไม้กฤษณาในตลาดโลก ผมว่าถึงเวลานั้น หรือว่าตอนนี้เลยก็ได้ ไทยยังสู้มาเลเซียไม่ได้เลยด้วยซ้ำ สิงคโปร์เองผมว่าต่อไปก็คงจะสู้มาเลเซียไม่ได้ เพราะเขาไม่มีพื้นที่ปลูก แต่มาเลเซียตอนนี้ปลูกกันเป็นล้านๆ ต้นครับ รัฐบาลเขาส่งเสริมเรื่องไม้กฤษณาอย่างจริงจังมาก และภาษาอังกฤษณาเขาก็ดีกว่าเรา ค้าขายเก่งกว่าเรา มีความสากลกว่าเรา และวัฒนธรรม ศาสนาเขาก็เข้ากับทางตะวันออกกลางได้ดีกว่าเรา และตลาดจีนก็กำลังพรุ่งตรงไปยังมาเลเซียในเรื่องไม้กฤษณา
ที่ผมรู้เพราะตอนนี้ผมขายสินค้าให้ทางจีน และมาเลเซียเป็นหลัก จะมีอาหรับบ้างก็เป็นส่วนน้อยมาก แต่จีนเองถ้าเราติดต่อเขาได้ เข้าใจภาษา และวัฒนธรรมการทำธุรกิจ การค้าแบบจีนมากพอ ก็พอจะค้าขายกันได้ ราคาก็ดีกว่าตลาดมาเลเซีย เพราะมาเลเซียเองก็ส่งออกจีน และสิงคโปเป็นหลักอยู่ ในตอนนี้นะครับ อีกหน่อยผมไม่แน่ใจ เพราะตลาดผันผวนมาก แต่ที่ได้ราคาดี คือ อาหรับ อันนี้แน่นอน 100 %
ถึงเวลานั้นจริงๆ ถ้ามองทางบวกก็มีนะครับ คือ ค้าแรงสิ่วไม้ เจาะต้นไม้ สับไม้ คือพูดง่ายๆ ค่าจ้างแรงงานต่างๆ คงจะถูกลง เพราะจ้างแรงงานต่างด้าวมาทำ พ่อค้าคนกลางต่างๆ และร้านซอยนานาก็จะสามารถไปซื้อไม้จากทางฝั่งลาว พม่า กัมพูชา อินโดนีเซีย ได้ง่ายขึ้น แต่อย่าลืมว่า มาเลเซียเอง เขาก็ได้ประโยชน์ตรงจุดนี้เหมือนกัน และกฏหมายบ้านเขาเอื้อต่อธุรกิจไม้กฤษณามากกว่าบ้านเราด้วย แต่ที่ได้ประโยชน์ก็ยังเป็นกลุ่มนายทุน อยู่ดี ระดับชาวบ้านยังมองภาพไม่ออกครับ
ผมเองถึงเวลานั้นยังอยากไปซื้อไม้จากประเทศเพื่อนบ้านเลยครับ ยอมรับว่าถูกกว่า และคุณภาพดีกว่าบ้านเราจริงๆ อีกอย่างคือ คนไทยเรายังไม่มีความซื่อสัตย์พอในการทำธุรกิจ โดยเฉพาะในระดับ รากหญ้า คือจะเน้นขายของให้ได้อย่างเดียว จะขายให้ได้ราคาดีที่สุด โดยไม่คำนึงถึงปัจจัยอื่นๆ เลย แบบที่ดีๆก็มีนะครับ แต่ส่วนใหญ่ก็อย่างที่ผมกล่าวมา ผมเจอมาเยอะมากหลายรูปแบบ ทั้งปนไม้ขาว นำไม้ไปชุบน้ำให้ได้น้ำหนัก (แบบนี้เยอะมาก) ทาสีไม้ นิ่งไม้ และอีกหลายรูปแบบครับ
บางที่ผมซื้อไม้ราคาแพงมากด้วย คือสงสารชาวบ้านเห็นว่าเดือดร้อน แต่ของที่ได้ก็ยังไม่มีคุณภาพอีกครับ คือเปียกชื้นมาเลย และมีไม้ขาวปนอีกตะหาก นำมาคัดแยก และนำไปตากแดดแล้ว น้ำหนักหายไปเกือบ 3 ขีดก็มี แล้วไม่ได้เป็นแบบนี้แค่ครั้งเดียว เป็นทุกครั้ง และหลายๆ รายด้วย ซึ่งผมเองที่ซื้อก็เพราะอยากให้เขาขายของได้
แต่หลังๆมานี้ผมจะซื้อเฉพาะรายที่มีคุณธรรมจริงๆ เท่านั้น คือเจอเยอะๆ บ่อยๆเข้าผมเองก็ไม่ไหว หลายๆ ครั้งที่ซื้อไปแล้ว ขายขาดทุน(ยังไม่รวม ค่าจัดส่งต่างๆเลยครับก็ขาดทุนแล้ว) คือชาวบ้านขายได้ราคาแพง หรือ คนที่นำมาขายให้ผมได้กำไรดี และจ่ายเงินสดซื้อทุกครั้งด้วย คือเป็นคนซื้อสินค้าไปขายแท้ๆ แต่ขาดทุน พอเราไปขายลูกค้าเรา ผมก็ต้องทำให้มีคุณภาพที่สุด ราคาก็ตามที่เสนอกันไว้ คือทุกคนได้กำไรหมด ยกเว้นผมขาดทุนคนเดียว 5555 ก็เป็นไปได้นะแบบนี้ สงสัยต้องซื้อประเทศเพื่อนบ้านดีกว่า
ผมว่าถ้าเป็นแบบนี้วงการไม้กฤษณาบ้านเราโตยากครับ นี้ยังไม่ร่วมถึงวงการทำสารนะครับ เรื่องน้ำมันปลอมปนอีก วงการนี้ปัญหาร้อยแปด พันเก้าครับพี่น้อง ใครไม่มาอยู่ตรงธุรกิจนี้ไม่รู้หรอกครับว่า ยิ่งกว่าวงการพระเครื่องซะอีก
ที่กล่าวมานี้คืออยากบอกว่า วงการไม้กฤษณาบ้านเรายังมีปัญหาเยอะมากตั้งแต่ระดับ รากหญ้าจนถึงผู้รับซื้อ ผมเองใจจริงก็อยากจะรับซื้อทุกรายนะครับถ้าของมีคุณภาพตามที่ผมต้องการ แต่ก็อย่างที่รู้ๆครับ วงการนี้จะซื้อ - ขายกันได้ต้องไว้ใจกันได้จริงๆ เท่านั้น
และเมื่อประเทศไทยก้าวเข้าสู่การเป็น ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ก็จะมีคู่แข่งในตลาดอีกเยอะ เพราะทุกประเทศในภูมิภาคจะ ไปมาหาสู่ และค้าขายกันได้อย่างอิสระขึ้น แต่รากฐานวงการไม้กฤษณาในประเทศเรายังไม่แข่งแกร่ง และทางประเทศเพื่อนบ้านเขามีความพร้อม ทั้งการทำตลาด ราคาสินค้าที่ถูกกว่า คุณภาพสินค้าที่ดีกว่า ค้าแรงงานที่ถูกกว่า ดูๆแล้วปัญหาจะตามมาอีกมาก แต่คนที่ได้ประโยชน์ก็มีนะครับแต่จะเป็นส่วนน้อย เท่านั้น
แต่ถ้าทุกคนร่วมมือกัน เดินไปในทิศทางเดียวกัน และมีความซื่อสัตย์ ในการทำธุรกิจ มีความจริงใจให้กัน ผมว่าวงการไม้กฤษณาบ้านเราคงจะไปได้ไกลกว่านี้มากครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น